วิธีเลิกนิสัยแย่ๆ ให้ได้ผลชะงัด

การโค้ช

ในที่สุดคุณก็จะมีแผนต่อกรกับนิสัยไม่ดีต่างๆ แล้ว ไม่ว่าจะทั้งการกินจนแน่นท้อง ชอบกัดเล็บ ไปจนถึงการปล่อยตัวให้แข็งตึงเป็นท่อนไม้ เพื่อให้คุณได้ทำสิ่งต่างๆ ตามความตั้งใจที่ดีต่อไป

อัพเดทล่าสุด: 29 มิถุนายน 2565
ใช้เวลาอ่าน 7 นาที
  • สิ่งต่างๆ ที่เราทำในชีวิตประจำวันของเรามากกว่า 40% เกิดขึ้นจากนิสัย แต่การตระหนักว่าสิ่งใดกระตุ้นให้เกิดการทำนิสัยแย่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในการควบคุมของเรา
  • เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ให้กลายเป็นดีด้วยการทำให้ตัวเองสามารถนิสัยแย่ๆ นั้นได้ยากขึ้น
  • เมื่อรู้สึกอยากกลับไปทำนิสัยเดิมๆ การมีแผนสำรองจะช่วยป้องกันไม่ให้ความก้าวหน้าหยุดชะงักไปได้


อ่านต่อเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม…

วิธีเลิกนิสัยที่ไม่ดีแบบถาวร

ลองถามตัวเองดูสิว่า กี่ครั้งแล้วที่พยายามเลิกดื่มน้ำอัดลม เลิกมัวแต่จ้องหน้าจอ หรือเลิกนอนหลับให้ทีวีดู แต่พอทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็เอาแต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้นใช่ไหม

ถ้าตอบว่า “เยอะ” หรือ “บ่อย” ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดการกับนิสัยแย่ๆ ด้วยวิธีใหม่ๆ เพื่อห้ามไม่ให้นิสัยเหล่านั้นทำเป้าหมายด้านสุขภาพของคุณพัง

"คนเราบังคับตัวเองให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแย่ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ" Wendy Wood, PhD รองอธิการบดีและอาจารย์สาขาจิตวิทยาและธุรกิจประจำมหาวิทยาลัย University of Southern California กล่าว และเธอยังเป็นนักวิจัยที่ใช้เวลาหลายทศวรรษศึกษาวิธีการสร้างและเปลี่ยนนิสัยของมนุษย์เรา (นอกจากนี้ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยในชื่อ Good Habits, Bad Habits: The Science of Making Positive Changes That Stick) พลังในการควบคุมตนเองและแรงใจของคนเราจะจางหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Wood จึงแนะว่า หากจะหยุดพฤติกรรมที่ไม่ดี เราต้องค้นหาต้นตอและเปลี่ยนความคิดในสมอง

Judson Brewer, MD, PhD บอกว่า ไม่ว่านิสัยที่ทำจะเป็นการสูบบุหรี่จัดหรือการเข้ายิมเป็นประจำ สมองคนเรากลับมองว่าพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ต่างกันเลย โดยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมประจำศูนย์ Brown University Mindfulness Center และเจ้าของหนังสือ The Craving Mind ผู้นี้ยังเสริมอีกด้วยว่า "จะมีบางสิ่งไปกระตุ้นจิตใจคนเราให้แสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมา และพฤติกรรมนี้เองที่จะไปทำให้สมองเรารู้สึกว่าได้รางวัล" เช่น เราชินกับการเข้าประชุมหรือเข้าเรียนตอนบ่าย (สิ่งกระตุ้น) แล้วต้องกระดกกระป๋องน้ำอัดลม (พฤติกรรม) เพื่อให้ได้รับน้ำตาลจำนวนหนึ่ง (รางวัล) บ่อยครั้งเรามักทำไปโดยไม่รู้ตัว

Wood บอกว่า อันที่จริงพฤติกรรมที่เราทำอยู่ทุกวันราว 43% นั้น เราทำไปจนเป็นนิสัยและไม่รู้ตัว การลงมือทำนิสัยที่ดีไปโดยอัตโนมัติเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก แต่จะดูเลวร้ายหากว่าเป็นนิสัยซึ่งถ้าเลือกได้เราก็จะไม่ทำ หากอยากลงมือทำอะไรโดยตระหนักรู้ตัวยิ่งขึ้นและจัดการกับต้นตอของปัญหาให้ได้ผล แทนที่จะมัวแต่โทษตัวเอง ก็ทำตามแผนฝึกความรับผิดชอบ 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ได้เลย

วิธีเลิกนิสัยที่ไม่ดีแบบถาวร

1. แจกแจงนิสัยแย่ๆ ของตัวเองออกมา

ถ้าอยากจะหยุดไถโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย หรือห้ามใจไม่ให้หยิบบราวนี่ชิ้นที่ 2 (หรือ 3 ในบางที) ขึ้นมาใส่ปาก ก็ต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่าทำไมถึงชอบทำอะไรแบบที่ว่ามา Brewer บอก โดยเริ่มด้วยการเตรียมปากกากับกระดาษให้พร้อม แล้วนั่งไล่เขียนสิ่งกระตุ้น พฤติกรรม และรางวัลของนิสัยแย่ๆ แต่ละอย่างที่เราทำไป

ลองใช้การไถมือถือเป็นตัวอย่างดูก็ได้ สิ่งกระตุ้นอาจเป็นการเห็นเพื่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ส่วนพฤติกรรมคือเราก็เลยหยิบโทรศัพท์ตามแล้วก็เริ่มเข้าแอพโซเชียลมีเดีย และรางวัลก็อาจเป็นการได้เห็นคนมากดไลค์รูปล่าสุดที่โพสต์ไปมากขึ้นหรือการขำไปกับมีมที่เห็นแล้วโดนใจ Brewer อธิบายว่า วงจรของสิ่งกระตุ้น พฤติกรรม และรางวัลที่เกิดขึ้นนี้จะฝังลึกลงไปในสมองของเรา ฉะนั้นการตระหนักรู้ว่าเรามีวงจรดังกล่าวอยู่นั้นจึงเป็นก้าวแรกในการต่อกร "ถ้าไม่รู้ตัวบ้างเลยก็จบเห่" เขาบอก "หยุดวงจรไม่ได้แน่"

2. เปลี่ยนบรรยากาศ

วิธีง่ายๆ ในการยุติวงจรนิสัยแย่ๆ ดังกล่าวก็คือการเลี่ยงสิ่งกระตุ้น Wood บอกว่า ทั้งสถานที่ ช่วงเวลาของวัน และแม้แต่ผู้คนรอบข้าง ต่างก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้เราโดยไม่รู้ตัวได้ หน้าที่ของคุณคือการปรับองค์ประกอบเหล่านี้ให้ได้ แล้วคุณจะทำให้เกิดความก้าวหน้าทางพฤติกรรมจริงๆ

หากสังเกตเห็นว่าทุกครั้งพอหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเปิดแล็ปท็อปปุ๊บ ก็จะหันไปหยิบขนมมาใส่ปากปั๊บ ก็ให้ลองเปลี่ยนไปเปิดแล็ปท็อปที่โต๊ะแทน ในที่ซึ่งเราชินกับการนั่งทำงาน ไม่ใช่ใช้เป็นที่พักผ่อน หรือถ้าทุกคืนก่อนเข้านอนจะต้องหยิบโทรศัพท์หรือรีโมททีวีตลอด ก็ให้ลองวางทิ้งไว้เลยในห้องอื่น แล้วเปลี่ยนมาวางหนังสือไว้แทนบนโต๊ะข้างเตียง หรือหากดื่มเยอะเกินไปหน่อยแทบทุกรอบที่นัดเจอเพื่อนที่ชอบไปดื่ม ลองเปลี่ยนที่นัดเจอจากร้านดื่มเป็นที่เดินเทรลแทน

3. เพิ่มอุปสรรค

เราเปลี่ยนพฤติกรรมด้านลบให้เป็นบวกได้โดยทำให้พฤติกรรมนั้นเป็นอะไรที่ทำได้ยากขึ้นมาหน่อย Wood อ้างอิงงานศึกษาวิจัยชื่อดังที่ได้ตีพิมพ์ลงใน Journal of Applied Behavior Analysis เพื่อจะได้อธิบายให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น โดยนักวิจัยต้องการทราบว่าสิ่งใดจะทำให้คนเลือกเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ในอาคารขนาด 4 ชั้น นักวิจัยจึงปรับเวลาให้ประตูลิฟต์ปิดช้าลง 16 วินาที ความไม่สะดวกเล็กๆ น้อยๆ นี้เองที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าเป็น "อุปสรรค" ทำให้จำนวนเที่ยวของลิฟต์ลดลงถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว "สิ่งที่มหัศจรรย์ก็คือ" Wood เล่าว่า "4 สัปดาห์ให้หลัง นักวิจัยปรับเวลาประตูลิฟต์ปิดให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่คนก็ยังคงขึ้นบันไดอยู่เพราะเดินขึ้นกันจนติดเป็นนิสัยใหม่ไปแล้ว"

ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่เมื่อต้องใส่อุปสรรคเข้าไปในพฤติกรรมที่อยากจะเปลี่ยน ถ้าชอบกัดเล็บอยู่ตลอด ก็ได้เวลาเข้าร้านทำเล็บแล้ว ถ้าต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ก็ลองหาเก้าอี้ที่ไม่บุนุ่มมานั่ง จะได้รู้สึกอยากลุกขึ้นมายืนบ่อยๆ ทุกอุปสรรคที่ใส่ไปไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ตาม ก็สามารถไปขัดขวางพฤติกรรมตอบสนองอัตโนมัติของเราได้ ซึ่งนำไปสู่ความคืบหน้า

4. ตั้งสติให้ดีก่อนจะทำ

ในอนาคต หากอยากจะเก็บเอางานไปทำวันหลัง หรือจะคว้านก้นถุงหามันฝรั่งทอดกรอบ ให้หยุดคิดสักนิดว่าความรู้สึกในตอนนั้นเป็นอย่างไร Brewer แนะนำว่าให้ลอง "ถามตัวเองดูว่า 'ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร'" แค่เพียงใส่ใจกับการกระทำของตัวเอง ก็สามารถเปลี่ยนนิสัยที่ฝังแน่นในสมองได้ เมื่อไม่นานมานี้คณะของ Brewer ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้กับผู้ป่วยมากกว่า 1,000 คนที่มีปัญหาการกินอาหารมากเกิน หลังจากที่ผู้ป่วยให้ความสนใจกับความรู้สึกอยากกินไม่หยุดจริงๆ แล้วฝึกสังเกตเช่นนี้ซ้ำเรื่อยๆ 10-15 ครั้ง ความอยากกินไม่หยุดก็เริ่มหายไป และพบว่าการกินเพราะรู้สึกอยากนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด "เมื่อเริ่มเห็นว่าพฤติกรรมเดิมไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย รางวัลก็ด้อยค่าลง" เขากล่าว "จึงหมดความสนใจที่จะทำในที่สุด"

ในขั้นที่ 2 ของการใส่ใจ Brewer บอกว่าให้นึกถึงว่าเราจะรู้สึกดีขึ้นมากแค่ไหนเมื่อไม่ได้ทำนิสัยแย่ๆ ที่เคยทำ "สมองคนเรามักจะมองหาข้อเสนอที่ดีกว่าและใหญ่กว่าเสมอ เรียกว่า BBO" เขาอธิบาย "ดังนั้นหากเราโฟกัสได้ว่าพฤติกรรมเดิมไม่ได้ให้รางวัลอะไรแล้ว และพฤติกรรมใหม่นั้นจะให้รางวัลที่ดึงดูดกว่า สมองคนเราก็จะเปลี่ยนทางที่ไปอย่างเป็นธรรมชาติ" BBO อาจเป็นการได้พูดคุยถามไถ่ชีวิตกับเพื่อนสนิทอย่างออกรส แทนที่จะนั่งไถมือถือ หรือเป็นความสุขตลอดวันหลังได้ออกวิ่งตอนเช้าจริงๆ แทนที่จะล้มแผนแล้วมานั่งช้ำใจไปทั้งวัน

5. มีแผนสำรอง

ในช่วงเวลาที่ความคืบหน้าเริ่มถดถอยและคุณรู้สึกอยากกลับไปทำนิสัยเดิมๆ แย่ๆ ให้สร้างแผน "ถ้า/งั้นก็" ขึ้น เช่น ถ้าอยากหาน้ำอัดลมดื่มตอนบ่าย ลองเปลี่ยนมาหยิบน้ำโซดามาดื่มแทน Wood บอกว่า การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการชี้นำตัวเองให้เลือกทางที่ดีกว่านั้นจะช่วยให้แน่ใจได้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เริ่มเลิกทำนิสัยแย่ๆ แต่ว่ายังเลิกได้ไม่หายขาด

การทำลายวงจรสิ่งกระตุ้น พฤติกรรม และรางวัลจะทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฝึกฝนอยู่ตลอด Wood บอก เมื่อคอยทำขั้นตอนด้านบนซ้ำอยู่เสมอ การเลิกทำนิสัยแย่ๆ ก็จะกลายมาเป็นนิสัยใหม่ได้ในไม่ช้า

เรียบเรียงโดย Marissa Stephenson
ภาพประกอบโดย Ryan Johnson

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เลิกนิสัยนั่งทั้งวันและฝึกความคล่องตัวแทนในทุกๆ วันเลย โปรแกรม "เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นทุกวัน" ในแอพ Nike Training Club จะช่วยให้คุณรู้สึกตัวเบาและผ่อนคลายขึ้นทันที จากนั้นให้รางวัลตัวเองด้วยอุปกรณ์โยคะใหม่ๆ เพื่อรักษานิสัยการออกกำลังกายนี้ไว้

เผยแพร่ครั้งแรก: 23 พฤษภาคม 2565

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

วิธีง่ายๆ เพื่อหยุดการกินเพราะความเครียด

การโค้ช

การกินตามอารมณ์คืออะไร แล้วจะหยุดได้อย่างไร

คุณสามารถออกกำลังกายแบบหนักหน่วงในระหว่างตั้งครรภ์ได้หรือไม่

นี่ล่ะ Nike (M)

ระหว่างตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายหนักแค่ไหนกัน

วิธีค้นหาแรงจูงใจในการออกกำลังกายหลังคลอด

นี่ล่ะ Nike (M)

ข้ามผ่านกำแพงในจิตใจที่พบได้บ่อยในการเทรนนิ่งหลังคลอด

วิธีออกกำลังกายหลังจากการแท้งบุตร โดยอ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ

นี่ล่ะ Nike (M)

คู่มือฉบับนุ่มนวลเพื่อการเคลื่อนไหวร่างกายหลังแท้ง

การฟื้นกำลังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร

การโค้ช

การฟื้นกำลังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร